องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations)
ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1919 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) แห่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เสนอ เพื่อเป็นองค์การกลางในการแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างประเทศด้วยสันติวิธีและดำรงสันติภาพอันถาวร
องค์การสันนิบาตชาติประชุมครั้งแรก ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในค.ศ.1920
สมาชิกภาพ
ประเทศที่เป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกประเทศได้ลงนามใน
สนธิสัญญาสันติภาพ เป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติโดยอัตโนมัติ โดยประเทศที่แพ้สงครามสามารถเข้าร่วมได้ แต่ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาสันติภาพให้เรียบร้อยเสียก่อน ส่วนประเทศอื่นๆหากต้องการเข้าเป็นสมาชิกต้องได้รับความเห็นชอบจากการออกเสียง 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิก
แต่สหรัฐอเมริกาแม้จะเป็นผู้ริเริ่มหากก็ไม่ได้เป็นสมาชิก เนื่องจากสภาคองเกรสไม่ยอมให้สัตยาบัน โดยอ้างว่าต้องปฏิบัติตาม
วาทะมอนโร ซึ่งมีนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวและแทรกแซงทางการเมืองของประเทศฝั่งยุโรป
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดขององค์การสันนิบาตชาติคือการดำรงสันติภาพและป้องกันสงครามในอนาคต โดยมีหลักการในความร่วมมือกัน ดังนี้
1.ร่วมมือกันรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงระหว่างประเทศ
2.เป็นองค์การกลางในการตัดสินชี้ขาดกรณีพิพาทระหว่างประเทศ
3.ร่วมมือกันดำเนินการลดกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์
4.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการทูต
ประเทศที่เป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกประเทศได้ลงนามใน
สนธิสัญญาสันติภาพ เป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติโดยอัตโนมัติ โดยประเทศที่แพ้สงครามสามารถเข้าร่วมได้ แต่ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาสันติภาพให้เรียบร้อยเสียก่อน ส่วนประเทศอื่นๆหากต้องการเข้าเป็นสมาชิกต้องได้รับความเห็นชอบจากการออกเสียง 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิก
แต่สหรัฐอเมริกาแม้จะเป็นผู้ริเริ่มหากก็ไม่ได้เป็นสมาชิก เนื่องจากสภาคองเกรสไม่ยอมให้สัตยาบัน โดยอ้างว่าต้องปฏิบัติตาม
วาทะมอนโร ซึ่งมีนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวและแทรกแซงทางการเมืองของประเทศฝั่งยุโรป
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดขององค์การสันนิบาตชาติคือการดำรงสันติภาพและป้องกันสงครามในอนาคต โดยมีหลักการในความร่วมมือกัน ดังนี้
1.ร่วมมือกันรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงระหว่างประเทศ
2.เป็นองค์การกลางในการตัดสินชี้ขาดกรณีพิพาทระหว่างประเทศ
3.ร่วมมือกันดำเนินการลดกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์
4.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการทูต
การดำเนินงาน
มีองค์กรต่างๆทำหน้าที่และรับผิดชอบ ดังนี้
1.สมัชชา คือ ที่ประชุมใหญ่ขององค์การ ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกทั้งหมด โดยแต่ละประเทศจะส่งผู้แทนได้มากสุด 3 คน การออกเสียงลงคะแนนได้เพียง 1 เสียง มีวาระการประชุมปีละครั้ง เพื่อพิจารณาปัญหาต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก
2.คณะมนตรี ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์การ แรกเริ่มมีสมาชิกถาวร 4 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และญี่ปุ่น และสมาชิกไม่ถาวรที่มาจากการเลือกตั้งอีก 4 ประเทศ คณะมนตรีนี้ประชุมกันปีละครั้งเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของสมัชชา
3.สำนักงานเลขาธิการ มีเลขาธิการที่ได้รับเลือกจากคณะมนตรี มีหน้าที่เป็นสำนักงานจัดทำรายงาน รักษาเอกสารหลักฐาน อำนวยการวิจัย และประสานงานกับฝ่ายต่างๆ
4.คณะกรรมาธิการ มีคณะกรรมาธิการฝ่ายต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น องค์การอนามัยระหว่างประเทศ สำนักแรงงานสากล คณะกรรมาธิการฝ่ายดินแดนในอาณัติ
5.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีต่างๆและกรณีพิพาทเกี่ยวกับพรมแดน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คน
มีองค์กรต่างๆทำหน้าที่และรับผิดชอบ ดังนี้
1.สมัชชา คือ ที่ประชุมใหญ่ขององค์การ ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกทั้งหมด โดยแต่ละประเทศจะส่งผู้แทนได้มากสุด 3 คน การออกเสียงลงคะแนนได้เพียง 1 เสียง มีวาระการประชุมปีละครั้ง เพื่อพิจารณาปัญหาต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก
2.คณะมนตรี ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์การ แรกเริ่มมีสมาชิกถาวร 4 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และญี่ปุ่น และสมาชิกไม่ถาวรที่มาจากการเลือกตั้งอีก 4 ประเทศ คณะมนตรีนี้ประชุมกันปีละครั้งเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของสมัชชา
3.สำนักงานเลขาธิการ มีเลขาธิการที่ได้รับเลือกจากคณะมนตรี มีหน้าที่เป็นสำนักงานจัดทำรายงาน รักษาเอกสารหลักฐาน อำนวยการวิจัย และประสานงานกับฝ่ายต่างๆ
4.คณะกรรมาธิการ มีคณะกรรมาธิการฝ่ายต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น องค์การอนามัยระหว่างประเทศ สำนักแรงงานสากล คณะกรรมาธิการฝ่ายดินแดนในอาณัติ
5.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีต่างๆและกรณีพิพาทเกี่ยวกับพรมแดน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คน
ผลงานขององค์การสันนิบาตชาติ
ผลงานที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ กรณีหมู่เกาะอาลันด์ (Aland Islands) ที่สวีเดนและฟินแลนด์แย่งกันครอบครอง ในค.ศ.1917 สวีเดนถือโอกาสนำกำลังทหารบุกยึด แต่ถูกกองทัพเยอรมันที่สนับสนุนฟินแลนด์ขับไล่ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีการยื่นเรื่องให้องค์การสันนิบาตชาติพิจารณา โดยองค์การมีคำตัดสินมอบหมู่เกาะอาลันด์อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของฟินแลนด์ แต่ต้องเป็นดินแดนปลอดทหาร และมีสถานภาพกึ่งทางการ
ผลงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ ได้แก่
-เหตุการณ์รุนแรงที่เกาะคอร์ฟู (Corfu Incident) ใน ค.ศ.1923 อิตาลีใช้กำลังเข้ายึดครองเกาะคอร์ฟูของกรีซ เพื่อบีบบังคับรัฐบาลกรีซให้ชดใช้ค่าเสียหายกรณีฆาตกรรมนายพลอิตาลี เอนรีโก เทลลินี (Enrico Tellini) และชาวอิตาลีอีก 4 คน ซึ่งองค์การสันนิบาตชาติไม่สามารถยับยั้งหรือลงโทษอิตาลีได้ ทั้งๆที่สองประเทศเป็นสมาชิกขององค์การ
-เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นรุกรามแคว้นแมนจูเรียของจีน ในค.ศ.1931 องค์การสันนิบาตชาติก็ไม่สามารถดำเนินการลงโทษญี่ปุ่นได้
เหตุการณ์ที่แสดงความล้มเหลวที่ชัดเจนที่สุด คือ สงครามอะบิสซิเนีย (Abyssinian War) เมื่อค.ศ. 1935 อิตาลีได้ส่งกองทัพบุกอะบิสซิเนีย (เอธิโอเปียในปัจจุบัน) ทั้งทางบกและอากาศโดยไม่ประกาศสงคราม และสามารถยึดกรุงอาดดิสบาบาได้ในปีค.ศ.1936 ซึ่งสมัชชาขององค์การสันนิบาตชาติได้มีมติคว่ำบาตรไม่ติดต่อค้าขายกับอิตาลี แต่ไม่ได้ผลเพราะทางเยอรมนีได้ให้การสนับสนุนอิตาลีอยู่ อีกทั้งอิตาลียังตอบโต้ด้วยการลาออกจากองค์การสันนิบาตชาติในค.ศ.1936
นอกจากนี้ยังมีกรณีเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ด้วยการส่งทหารเข้าสู่เขตปลอดทหารไรน์แลนด์ของเยอรมนี องค์การสันนิบาตชาติก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าว
การที่องค์การสันนิบาตชาติเกิดความอ่อนแอ เนื่องจากพื้นฐานความคิดขององค์การไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยองค์การมองว่าทุกประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาสันติภาพของโลก แต่ความจริงแล้วสังคมทางการเมืองระหว่างประเทศช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติมหาอำนาจต่างก็ถือเอาผลประโยชน์ที่ตนได้รับเป็นหลักสำคัญ ดังนั้นเมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ องค์การสันนิบาตชาติจึงไม่อาจแก้ปัญหาได้และประสบความล้มเหลวมาตลอดจนกระทั่งการสิ้นสภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จุดอ่อนขององค์การสันนิบาตชาติ
1.ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิก
กฎข้อบังคับต่างๆบังคับใช้ได้แต่ประเทศที่ไม่ค่อยมีอำนาจและบทบาทมากนัก แต่ไม่มีผลบังคับกับประเทศมหาอำนาจเนื่องจากไม่ได้เป็นสมาชิก หรือเป็นแล้วลาออก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (ลาออกเมื่อ ค.ศ.1934) เยอรมนี (เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปีค.ศ.1926 หลังก่อตั้งองค์การ 6 ปี เนื่องจากเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม และลาออกไปค.ศ.1933) ญี่ปุ่น (ลาออกเมื่อค.ศ.1933) อิตาลี (ลาออกเมื่อค.ศ.1937)
ดังนั้นตั้งแต่ค.ศ.1937 จึงเหลือมหาอำนาจแค่อังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้น
2.ประเทศมหาอำนาจโจมตีประเทศอื่น
-ฝรั่งเศสและเบลเยียม เข้ายึดครองเหมืองแร่ถ่านหินในแคว้นรูห์ของเยอรมนี ทำให้เยอรมนีตอบโต้ด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศและก่อวินาศกรรม
-ฝรั่งเศส ให้การสนับสนุนโปแลนด์ในการโจมตีลิทัวเนียเพื่อเมืองวิลนา
-อิตาลี โจมตีเกาะคอร์ฟูของกรีซ
ผลงานที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ กรณีหมู่เกาะอาลันด์ (Aland Islands) ที่สวีเดนและฟินแลนด์แย่งกันครอบครอง ในค.ศ.1917 สวีเดนถือโอกาสนำกำลังทหารบุกยึด แต่ถูกกองทัพเยอรมันที่สนับสนุนฟินแลนด์ขับไล่ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีการยื่นเรื่องให้องค์การสันนิบาตชาติพิจารณา โดยองค์การมีคำตัดสินมอบหมู่เกาะอาลันด์อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของฟินแลนด์ แต่ต้องเป็นดินแดนปลอดทหาร และมีสถานภาพกึ่งทางการ
ผลงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ ได้แก่
-เหตุการณ์รุนแรงที่เกาะคอร์ฟู (Corfu Incident) ใน ค.ศ.1923 อิตาลีใช้กำลังเข้ายึดครองเกาะคอร์ฟูของกรีซ เพื่อบีบบังคับรัฐบาลกรีซให้ชดใช้ค่าเสียหายกรณีฆาตกรรมนายพลอิตาลี เอนรีโก เทลลินี (Enrico Tellini) และชาวอิตาลีอีก 4 คน ซึ่งองค์การสันนิบาตชาติไม่สามารถยับยั้งหรือลงโทษอิตาลีได้ ทั้งๆที่สองประเทศเป็นสมาชิกขององค์การ
-เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นรุกรามแคว้นแมนจูเรียของจีน ในค.ศ.1931 องค์การสันนิบาตชาติก็ไม่สามารถดำเนินการลงโทษญี่ปุ่นได้
เหตุการณ์ที่แสดงความล้มเหลวที่ชัดเจนที่สุด คือ สงครามอะบิสซิเนีย (Abyssinian War) เมื่อค.ศ. 1935 อิตาลีได้ส่งกองทัพบุกอะบิสซิเนีย (เอธิโอเปียในปัจจุบัน) ทั้งทางบกและอากาศโดยไม่ประกาศสงคราม และสามารถยึดกรุงอาดดิสบาบาได้ในปีค.ศ.1936 ซึ่งสมัชชาขององค์การสันนิบาตชาติได้มีมติคว่ำบาตรไม่ติดต่อค้าขายกับอิตาลี แต่ไม่ได้ผลเพราะทางเยอรมนีได้ให้การสนับสนุนอิตาลีอยู่ อีกทั้งอิตาลียังตอบโต้ด้วยการลาออกจากองค์การสันนิบาตชาติในค.ศ.1936
นอกจากนี้ยังมีกรณีเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ด้วยการส่งทหารเข้าสู่เขตปลอดทหารไรน์แลนด์ของเยอรมนี องค์การสันนิบาตชาติก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าว
การที่องค์การสันนิบาตชาติเกิดความอ่อนแอ เนื่องจากพื้นฐานความคิดขององค์การไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยองค์การมองว่าทุกประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาสันติภาพของโลก แต่ความจริงแล้วสังคมทางการเมืองระหว่างประเทศช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติมหาอำนาจต่างก็ถือเอาผลประโยชน์ที่ตนได้รับเป็นหลักสำคัญ ดังนั้นเมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ องค์การสันนิบาตชาติจึงไม่อาจแก้ปัญหาได้และประสบความล้มเหลวมาตลอดจนกระทั่งการสิ้นสภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จุดอ่อนขององค์การสันนิบาตชาติ
1.ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิก
กฎข้อบังคับต่างๆบังคับใช้ได้แต่ประเทศที่ไม่ค่อยมีอำนาจและบทบาทมากนัก แต่ไม่มีผลบังคับกับประเทศมหาอำนาจเนื่องจากไม่ได้เป็นสมาชิก หรือเป็นแล้วลาออก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (ลาออกเมื่อ ค.ศ.1934) เยอรมนี (เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปีค.ศ.1926 หลังก่อตั้งองค์การ 6 ปี เนื่องจากเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม และลาออกไปค.ศ.1933) ญี่ปุ่น (ลาออกเมื่อค.ศ.1933) อิตาลี (ลาออกเมื่อค.ศ.1937)
ดังนั้นตั้งแต่ค.ศ.1937 จึงเหลือมหาอำนาจแค่อังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้น
2.ประเทศมหาอำนาจโจมตีประเทศอื่น
-ฝรั่งเศสและเบลเยียม เข้ายึดครองเหมืองแร่ถ่านหินในแคว้นรูห์ของเยอรมนี ทำให้เยอรมนีตอบโต้ด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศและก่อวินาศกรรม
-ฝรั่งเศส ให้การสนับสนุนโปแลนด์ในการโจมตีลิทัวเนียเพื่อเมืองวิลนา
-อิตาลี โจมตีเกาะคอร์ฟูของกรีซ